วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้ลงเนื้อหาบทเรียนแบบจริงจัง หลังจากสัปดาห์ก่อนที่เราได้ทำความรู้จักเพื่อนๆ และมีปาร์ตี้งานรับรางวัลของรุ่นพี่ NEC ปี 2555
อาจารย์โจ (Banphot Vatanasombut) เจ้าของบริษัท RTB technology ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในการจำหน่ายอุปกรณ์หูฟัง bluetooth ยี่ห้อ “ Jabra “ กับ “Beats by dr dre” ในประเทศไทย และมีอีกหลากหลายแบรนด์ที่นำมาจำหน่ายตามข้อมูลในเวปไชต์ www.rtbtechnology.com
อาจารย์ได้มาเล่าประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้พวกเราฟังในเรื่องราวของ “บทเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการใหม่” ว่าคนที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจที่สำเร็จส่วนใหญ่เค้ามีอะไรที่เหมือนกัน เจอปัญหาอะไรบ้าง และเเชร์แง่คิดในการเริ่มต้นธุรกิจ ให้ผมเริ่มมองโลกการทำธุรกิจได้แบบเข้าใจมากขึ้น เลยเก็บมาเล่าเท่าที่จำๆได้นะครับ
----------------------- (1) -----------------------
เริ่มต้น : ประเภทคนทำธุรกิจ
เริ่มต้น : ประเภทคนทำธุรกิจ
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นแบบนั้น ?
คนใน Gen1 และ Gen2 นั้นมีจุดแข็งต่างกัน เพราะในการเริ่มต้นทำธุรกิจ คน Gen1ที่เริ่มต้นทำธุรกิจอะไรสักอย่างต้องเป็นคนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งมาก ดังนั้นมุมมองของ Gen1 จะมุมมองการแก้ปัญหาเป็น short term เพราะเวลาเราเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ปัญหามันจะเข้ามาไม่หยุดหย่อน ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เช่นทำยังไง จะหาเงินมาเติมใส่ให้กับธุรกิจที่เดินไป วัตถุดิบในการทำสินค้าช่วงหน้าเทศกาลไม่พอต้องหาจากแหล่งอื่นมาเพิ่ม หรือ เงินในระบบเหลือเดินไปได้แค่ 45 วัน 30 วัน 20 วัน จะบอกลูกน้องยังไง ไม่ให้แตกตื่นว่าเราจะไปรอดใหม ฯลฯ
ในมุมมองผม การเริ่มต้นทำธุรกิจของ Gen1 มันเป็นคงเหมือนการดูแลเด็กเล็กๆ ตอนที่เราต้องคอยประคบประหงม จะเป็นไข้ไม่สบายรึเปล่า จะวิ่งหกล้มรึเปล่า ฯ ซึ่งระยะนี้เราต้องดูแลเค้าเป็นพิเศษ ต้องใช้พลังงานมาก ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง นี่จึงกลายไปเป็นจุดแข็งของคนใน Gen 1 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการ ”เรียนรู้” และ "ทำอย่างไรให้อยู่รอด"
ที่หลังจากธุรกิจรอดพ้นจากช่วงล้มลุก และดำเนินมาอย่างมั่นคงจากมือคน Gen 1 แล้ว ในส่วนของคน Gen2 ที่คน Gen1 ส่งไปร่ำเรียนจากสถานศึกษาต่างๆ เพื่อให้มาพัฒนาธุรกิจนั้น ด้วยความรู้และวิชาที่เรียนมา คน Gen2 เค้าจะมองวิธีการบริหารหรือแก้ปัญหาธุรกิจนั้นแบบ Long term กล่าวคือเริ่มทำให้ตัวธุรกิจเป็นระบบมากขึ้น จะทำอะไรก็มีแผนยาวๆ มีมุมมองที่จะทำให้ธุรกิจโตไปทางใหน (โดยอาจไม่ทันได้คิดว่าตัวธุรกิจอาจตายระหว่างทางก่อนหรือเปล่า) ทำให้ความคิดของคนสองกลุ่มนี้ในการแก้ปัญหาเดียวกันเกิดเป็นปัญหา เนื่องจากใช้วิธีแก้ปัญหาคนละแบบ คนหนึ่งมองภาพสั้นๆ คนหนึ่งมองภาพยาวๆ จนเกิดการทะเลาะกันในการทำธุรกิจได้
ซึ่งถ้าเราจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ แนวคิดที่ควรใช้คือแบบคน Gen1 คือ ”เรียนรู้” และ "ทำอย่างไรให้อยู่รอด" แต่คนรุ่นใหม่จะมีส่วนผสมของ Gen2 ด้วยเช่นกันเพราะเรียนมาเยอะรู้อะไรหลายอย่างเยอะ ในระหว่างเรียน อาจารย์จึงได้ให้คำแนะนำกับผู้เริ่มต้นธุรกิจใหม่ว่า
“ บางทีคนเรียนเยอะมาก พอรู้มาก เค้าจะไม่กล้าเสี่ยง “
การเริ่มต้นทำธุรกิจยุคนี้ จึงขอให้ทำธุรกิจแบบคน Gen1 คือชอบที่จะเรียนรู้และปรับตัวแก้ปัญหาเก่ง ในขณะเดียวกันก็พยายามลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจและมองตัวธุรกิจว่าจะโตไปอย่างไรในระยะยาวแบบ Gen2 ด้วย
----------------------- (2) -----------------------
สถิติ : ธุรกิจเรามีโอกาสรอดขนาดใหน ?
สถิติ : ธุรกิจเรามีโอกาสรอดขนาดใหน ?
ผลการวิจัยของบริษัทในอเมริกาสำหรับธุรกิจที่เปิดใหม่ ในกลุ่ม INC500 ที่ไปสำรวจข้อมูล 100 บริษัทธุรกิจขนาดเล็กเกิดใหม่ สรุปข้อมูลได้ดังนี้
- บริษัทที่เริ่มต้นตั้งตั้งแต่ปี 1989 “เจ๊ง” ไป 70% ใน 8 ปีแรก
- ข้อมูลสรุปว่า 7 คนที่เริ่มต้นทำธุรกิจ จะมี 1 คนที่ประสอบความสำเร็จในธุรกิจขนาดเล็ก
- ธุรกิจที่ไม่ได้มีไอเดียอะไรใหม่ๆ กว่าชาวบ้าน ก็เอาตัวรอดได้!
- ธุรกิจที่ไม่ได้มีแผนทางธุรกิจ ก็เอาตัวรอดได้!
- ธุรกิจที่ไม่ได้เงินทุนพอในการเริ่มต้นตอนแรก ก็เอาตัวรอดได้!
- ธุรกิจที่ไม่ได้มีทีมงานที่เก่งตั้งแต่แรก ก็เอาตัวรอดได้!
- แม้ว่าเราจะไม่ได้มีไอเดียใหม่ๆ
- แม้ว่าเราไม่ได้วางแผนหรือทำแผนทางธุรกิจมาก่อน
- แม้ว่าเงินในกระเป๋าอาจจะไม่พอที่จะเริ่มต้นธุรกิจได้ตั้งแต่แรก
- แม้ว่าไม่มีคนเก่งๆมาเป็นทีมงานเราในตอนเริ่มต้น
- อดทน ต่อการเปลี่ยนแปลง
- ปรับตัว ต่อสถานการณ์
- มีความสามารถในการหาทรัพยากร ได้แก่ เงิน คน วัตถุดิบในการผลิตสินค้า ฯ
----------------------- (3) -----------------------
นักสู้ธุรกิจใหม่ : จงหลบยักษ์และรักม้าพยศ
นักสู้ธุรกิจใหม่ : จงหลบยักษ์และรักม้าพยศ
คนตัวเล็กเมื่อจะเริ่มธุรกิจ ไม่ควรเข้าไปทำธุรกิจแข่งกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ยิ่งทำแข่งไปมีแต่แพ้กับแพ้เนื่องด้วยทรัพยากรของเขามีมากกว่า เราต้องเข้าหา Niche market คือ ตลาดเฉพาะกลุ่ม เพราะตลาดพวกนี้ผู้เล่นรายใหญ่จะลงมาบี้เรายาก ( นับว่่าเป็นการกำจัดความเสี่ยงวิธีหนึ่ง ) จึงขอให้มองหาสนามเฉพาะทางของธุรกิจเรา เช่น ธุรกิจบานกระจกพับ ในตลาดใหญ่นั้นแข่งกันดุเดือด รายใหญ่แข่งกันลดราคา รายย่อยจะตายเรียบ ดังนั้น เราต้องหา Value Add เข้ามาเพิ่มในงานเรา เพื่อทำให้สินค้าของเราเข้าสู่ตลาด Niche เช่น แกะกระจกเพิ่มเติมแบบ Hand made แล้วขายให้กลุ่มลูกค้าเฉพาะด้านที่เค้าเห็นว่างานเราสินค้าเราดีมีคุณภาพ ถึงเราตั้งราคาแพงกว่าในตลาดแต่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มก็ยอมซื้อเพราะ value ที่ได้มาเพิ่มเติม ที่สำคัญเราต้องมองหาลูกค้าในกลุ่มตลาด Niche ให้เจอ
เหตุผลที่รายใหญ่อาจจะเข้ามาเล่นตรงนี้ด้วยไม่ได้เพราะต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการทำงานนี้ ธุรกิจในตลาด Niche จงรอดจากการแข่งขันที่รุนแรง
ข้อคิดอีกอย่างที่อาจารย์เน้นคือ เจ้าของธุรกิจควรไปคุยกับลูกค้าโดยตรง เพราะมุมมองของลูกค้าจะชอบคนที่คุยกับเค้าแล้วสามารถเป็นเป็น Decision Maker ได้ จะขออะไรเพิ่มหรืออยากจะต่อรองราคาก็ตัดสินใจให้ได้เลยเวลานั้น สามารถจบงานจบดีลได้ที่ตรงนั้นเลย ในมุมมองของเราก็ได้ประโยชน์ในการทำ research ไปในตัวว่าลูกค้าต้องการอะไร ชอบสินค้าแบบใหน และข้อสำคัญอีกอย่างของการเข้าไปคุยกับลูกค้าโดยตรงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อลูกค้าเชื่อถือเรา เราก็จะสามารถขายของและบริการต่างๆได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆไป
ในส่วนเรื่องของคนหรือเรื่องของทีมงาน อาจารย์แนะนำว่า งานบางงานต้องแยกคนทำแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ไม่ควรให้คนๆเดียวกันทำงานหลายงานพร้อมกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทุจริต เช่น คนขายก็ทำหน้าที่ขายไป คนส่งของก็ส่งของอย่างเดียวไม่ต้องไปทำหน้าที่รับเงินจากลูกค้าด้วย คนรับเงินก็ทำหน้าที่รับเงินอย่างเดียว เพราะถ้าให้คนๆเดียวทำงานทั้งสามอย่างนี้พร้อมกันอาจเกิดการโกงได้ เช่น คนส่งของรับเงินจากลูกค้าแล้ว มาบอกกับเราว่าลูกค้าจะจายเงินตอนสิ้นเดือน แล้วคนส่งของก็หนีหายไป
ในกระบวนการทำงาน อย่าเปิดโอกาสให้หนักงานมีช่องทำทุจริต ถ้าจุดใหนคิดว่าเป็นช่องทางทุจริตได้ก็ควรปิดช่องนั้นทิ้ง เหมือนเราฝากอาหารให้กับคนที่กำลังหิว พอเกิดเรื่องโกงเรื่องทุจริตขึ้นมาจริงๆผู้ประกอบการมีแต่เสียใจและเสียอารมย์
และสิ่งสุดท้ายที่อาจารย์ฝากคือคือ การลงสนาม ให้เริ่มต้นทำธุรกิจเลย “ต้องเริ่มทำ” และ คนที่ทำธุรกิจ ควรจะมี “Winning Attitude"
ยกตัวอย่างเรื่องเล่า Winning attitude ตัวหนึ่ง คือทีมงานของ RTB มี เคสเคยมีดีลสำคัญต้องไปขายของให้ลูกค้าคนหนึ่งที่ค่อนข้างเรื่องมากและพูดจาเสียงดัง บริษัทส่ง sale ไปขายของกี่คนๆ ก็จบดีลไม่สำเร็จสักที แต่มีน้อง sale คนหนึ่งที่รับอาสาไปขายของให้ลูกค้าคนนี้ เขาทนคำด่าคำว่าจากลูกค้าแต่จนในที่สุดก็สามารถปิดดีลสำคัญนี้ได้ เคล็ดลับของ sale คนนี้เป็นคำพูดที่อาจารย์โจประทับใจจนต้องมาเล่าให้ฟังนั่นคือ " ผมชอบม้าพยศ ผมจะทำให้เค้ายอมเราให้ได้ " เป็นคำพูดที่แสดงถึง winning attitude ไม่ยอมแพ้แม้ปัญหามันจะยาก ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ
เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขียนเกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงม้า มีบทหนึ่งกล่าวว่า "ม้าพยศ ทำให้เราพัฒนาตัวได้มากที่สุด" winning attitude จึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เหล่า entrepreneur ควรมีอยู่ในตัว
-----------------------( END )-----------------------
ขอบคุณมากครับที่แบ่งปัน เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ผมตามอ่านทุกๆหัวข้อ นอกจากได้ความรู้ยังได้แรงขับเคลื่อนในใจด้วยครับ
ตอบลบขอบคุณมากครับ จะพยายามเขียนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ นะครับ : )
ตอบลบ