การทำธุรกิจ แน่นอน...เป้าหมายนั้นย่อมต้องการกำไรจากธุระกิจที่ทำ วิธีการคำนวนหากำไรก็คิดจากสูตรง่ายๆ นั่นคือ
กำไร = รายได้ - รายจ่ายผมมีเพื่อนรุ่นเดียวกันในห้องเรียนผู้ประกอบการใหม่เล่าปัญหาให้ฟังว่า ที่บ้านทำร้านขายของชำ ซึ่งปกติก็เป็นแบบซื้อมาขายไป ในทุกวันที่ขายของจะเห็นว่ามี cash flow เข้ามาอยู่เรื่อยๆ แต่ปัญหาคือ เขาไม่รู้ว่า ที่ทำร้านขายของนี่เขาได้กำไรหรือขาดทุนไปเท่าไรในแต่ละเดือน
ถ้าเราขายไปวันๆ โดยไม่มีการจดรายรับรายจ่าย เราอาจไม่รู้จริงๆว่าแต่ละวันเรามีกำไรเท่าไร การทำบัญชีเพื่อตรวจสอบรายรับรายจ่าย จะเป็นข้อมูลบอกเราว่า จริงๆแล้วธุรกิจที่เราทำอยู่นี้ มีกำไร หรือ ขาดทุนอยู่ ไม่ใช่เห็นแค่ Cash flow เข้ามาทุกวันก็พอแล้ว และเมื่อเราเริ่มเก็บข้อมูลเรื่องเงินเข้าเงินออกในธุรกิจเราอย่างเป็นระบบมากขึ้น ก็ควรนำข้อมูลมาทำบัญชีให้ถูกหลักกันครับ
ความหมายของ การบัญชี คือ กระบวนการหรือขั้นตอนทางการเงินที่สามารถระบุค่าทางการเงินได้ หลังจากนั้นก็นำมาจัดหมวดหมู่ตามหลักการบัญชี ขยายความอีกทีว่า การทำบัญชีคือการจดบันทึกข้อมูลรายรับรายจ่าย พยายามตีมูลค่าในทุกอย่างในกิจการให้ออกมาเป็นตัวเลขให้ได้ แล้วเอามาจัดหมวดหมู่ทำเป็นงบการเงิน คนอ่านแล้วต้องเข้าใจ
มีคำถามคือ เราทำงบการเงินไปทำไม ใครเอางบการเงินไปดูบ้าง ?
หน้าที่ของกิจการ คือ เมื่อดำเนินงานทางธุรกิจต้องจัดทำงบการเงิน เพื่อส่งให้กระทรวงพาณิชย์เก็บข้อมูลตามกฏหมาย และส่งให้ทางกรมสรรพากรเพื่อในการทำเรื่องการเก็บภาษี
ในเรื่องของภาษี อาจารย์มีคำแนะนำว่า การเก็บหลักฐานให้ครบและทำทุกอย่างให้ถูกต้องนั้นดีที่สุด ในตอนที่ธุรกิจเรายังไม่โต สรรพกรเขายังปล่อยเราอยู่ แต่ถ้าธุรกิจเราใหญ่ขึ้นแล้วเราทำไม่ถูกต้อง มีโอกาสโดนเก็บภาษีย้อนหลังแน่ๆ
ในฐานะของผู้เป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ ในเรื่องการการบัญชีและเรื่องงบการเงิน เราควรรู้ไว้บ้างก็ดี แท้จริงแล้ว หน้าที่เราไม่ต้องถึงกับต้องไปแย่งงานฝ่ายบัญชีทำรายละเอียดทำงบการเงินขึ้นมาเอง เพียงแต่เราควรจะอ่านพบการเงินให้เป็น อ่านให้พอให้เข้าใจได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเงินของกิจการเราบ้างนี่คือจุดประสงค์ของการเรียนในวันนี้ครับ
มาดูความหมายของงบการเงินในแบบของพ่อตานะครับ
ลูกสาวของบ้านหนึ่ง เธอคนนี้สวยมาก มีหนุุ่มๆเข้ามาจีบมากมาย "ว่าที่พ่อตา" จึงได้ถามลูกสาวเกี่ยวกับบรรดาหนุ่มๆที่เข้ามาจีบว่า
การคัดเลือกลูกเขยของพ่อตา ก็ คล้ายๆ กับการดูงบการเงินของบริษัท แต่ก็อย่างว่านะครับ …. ในเมื่อคนเราแต่งตัวทำให้ดูดีกันได้ แล้ว งบการเงิน มันก็ทำให้ดูดีได้เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องดูกันให้ดีๆ ว่าแต่ละคนมีอะไรแอบซ่อนอยู่ลึกๆ รึเปล่า
เรามาดูเจาะลึกเพิ่มในแต่ละคำถาม
ฐานะทางการเงิน เป็นข้อมูลที่บอกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ "รวยไหม" ก็ดูง่ายๆว่าเขามีทรัพย์สินเท่าไร แค่นี้ไม่พอ ต้องดูหนี้สินที่เขามีอยู่ด้วย
ผลการดำเนินงาน เป็นตัวที่บอกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ "มีแนวโน้มจะเจรฺิญก้าวหน้าไหม" วิธีดู ก็ดูจากผลงานในปีก่อนๆของเค้าว่า ทรัพย์สินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลง
กระแสเงินสด เป็นตัวที่บอกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ มีสภาพคล่องทางการเงินเป็นอย่างไร ถ้ามีเหตุต้องการใช้เงิน จะเปลี่ยนสินทรัพย์ที่มีให้เป็นเงินได้เร็วแค่ไหน
การพิจารณาให้ดี ต้องลองเอาข้อมูลหลายๆตัวมาพิจารณาประกอบกันนะครับ
ตอนนี้เราจะลองเอาเรื่องที่เล่ามาจับคู่กับประเภทของงบการเงินกันครับ เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องงบการเงินให้มากขึ้น
ในงบการเงิน ที่เราใช้งานกันบ่อยๆ จะมีงบ 3 ประเภท คือ
งบดุล ใช้บอก ฐานะทางการเงิน
งบกำไรขาดทุน ใช้บอก ผลการดำเนินงาน
งบกระแสเงินสด ใช้บอก กระแสเงินสด
และมีอีกข้อมูลที่สำคัญ เอาไว้ให้นักตรวจสอบบัญชีใช้ตรวจสอบเงื่อนงำ มันคือ หมายเหตุประกอบการเงิน ครับ เพราะบางทีงบการเงินของบางกิจการดีมาก แต่วิธีการคิดการทำงบการเงินอาจจะมีการพลิกแพลงอะไรบางอย่าง เราจึงควรมาอ่านหมายเหตุฯตรงนี้เพิ่มด้วย
มีคนสงสัยว่า ทำไมงบการเงิน มีหลายตัวจัง คำตอบคือ...ที่งบการเงินมีหลายตัวแบบนี้ก็เพื่อ บอกฐานะทางการเงินของบริษัทให้ใกล้เคียงความจริงให้มากที่สุด เราจึงต้องควรดูงบการเงินหลายๆตัว ประกอบกัน เพื่อที่จะเห็นแง่มุมชัดตื้นลึกด้านการเงินของกิจการนั้นๆได้ชัดเจนขึ้น
มาดูรายละเอียดงบแต่ละตัวแบบย่อๆ กันครับ
1) งบดุล : แสดงฐานะทางการเงินของกิจการ ณ. จุดเวลาหนึ่ง เราเอามาเขียนเป็นสมการบัญชีได้เป็น
หมายเหตุจากรูป เป็นการเทียบอัตราส่วนหนี้สินหมุนเวียน/ไม่หมุนเวียน ของกิจการ A และ B ซึ่งการกำหนดสัดส่วนของหนี้สินหมุนเวียนของกิจการ B ควรจะดู ทรัพย์สินหมุนเวียนของกิจการ B ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเงินเพื่อจ่ายหนี้ระยะสั้นได้ทันหรือไม่
จะเห็นได้ว่า กว่าที่รายได้จะมาถึงปลายทางที่เป็นกำไรสุทธิ จะโดนหักค่าใช้จ่ายเป็นหลายๆขั้น เพื่อที่จะได้แยกให้เห็นทีละขั้นว่าธุรกิจนี้ ผลิตเก่ง หรือ ขายเก่ง
การคิดกำไรออกเป็นขั้นๆ (กำไรขั้นต้น , กำไรจากการดำเนินงาน , กำไรก่อนภาษี ) ทำให้เราเห็นถึงความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจนั้น
งบกำไรขาดทุน สามารถดูแนวโน้มอนาคตของธุรกิจได้ ลองเข้าไปดูส่วนของกำไรสุทธิ ที่สะสมเพิ่มตามแต่ละปีในงบการเงิน ก็พอที่จะเห็นแนวโน้มของธุรกิจ ตามรูปครับ
3) งบกระเเสเงินสด : เป็นต้วบอกว่าเงินสดในธุรกิจ ได้มาจากแหล่งใดบ้าง อาทิเช่น
งบการเงินแต่ละแบบ มีหน้าที่สะท้อนสถานะทางการเงินของธุรกิจในแต่ละด้าน เราต้องดูหลายๆด้าน แล้วเอามาประกอบกันให้เห็นภาพใกล้เคียงภาพจริงที่สุด ฝากสุดท้าย การทำงบการเงิน รายละเอียดลึกๆเป็นหน้าที่ของนักบัญชี แต่ผู้ประกอบการก็ควรที่จะอ่านงบการเงินให้เข้าใจครับ
Note :
ความหมายของ การบัญชี คือ กระบวนการหรือขั้นตอนทางการเงินที่สามารถระบุค่าทางการเงินได้ หลังจากนั้นก็นำมาจัดหมวดหมู่ตามหลักการบัญชี ขยายความอีกทีว่า การทำบัญชีคือการจดบันทึกข้อมูลรายรับรายจ่าย พยายามตีมูลค่าในทุกอย่างในกิจการให้ออกมาเป็นตัวเลขให้ได้ แล้วเอามาจัดหมวดหมู่ทำเป็นงบการเงิน คนอ่านแล้วต้องเข้าใจ
มีคำถามคือ เราทำงบการเงินไปทำไม ใครเอางบการเงินไปดูบ้าง ?
หน้าที่ของกิจการ คือ เมื่อดำเนินงานทางธุรกิจต้องจัดทำงบการเงิน เพื่อส่งให้กระทรวงพาณิชย์เก็บข้อมูลตามกฏหมาย และส่งให้ทางกรมสรรพากรเพื่อในการทำเรื่องการเก็บภาษี
ในเรื่องของภาษี อาจารย์มีคำแนะนำว่า การเก็บหลักฐานให้ครบและทำทุกอย่างให้ถูกต้องนั้นดีที่สุด ในตอนที่ธุรกิจเรายังไม่โต สรรพกรเขายังปล่อยเราอยู่ แต่ถ้าธุรกิจเราใหญ่ขึ้นแล้วเราทำไม่ถูกต้อง มีโอกาสโดนเก็บภาษีย้อนหลังแน่ๆ
ในฐานะของผู้เป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ ในเรื่องการการบัญชีและเรื่องงบการเงิน เราควรรู้ไว้บ้างก็ดี แท้จริงแล้ว หน้าที่เราไม่ต้องถึงกับต้องไปแย่งงานฝ่ายบัญชีทำรายละเอียดทำงบการเงินขึ้นมาเอง เพียงแต่เราควรจะอ่านพบการเงินให้เป็น อ่านให้พอให้เข้าใจได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเงินของกิจการเราบ้างนี่คือจุดประสงค์ของการเรียนในวันนี้ครับ
------------ (1) ------------
มาดูความหมายของงบการเงินในแบบของพ่อตานะครับ
ลูกสาวของบ้านหนึ่ง เธอคนนี้สวยมาก มีหนุุ่มๆเข้ามาจีบมากมาย "ว่าที่พ่อตา" จึงได้ถามลูกสาวเกี่ยวกับบรรดาหนุ่มๆที่เข้ามาจีบว่า
- เจ้าหนุ่มคนนั้นรวยไหม ? ( ฐานะทางการเงิน)
- อยู่กันแล้วจะเจริญก้าวหน้าไปด้วยกันใหม ? (ผลการดำเนินงาน)
- และสุดท้ายดู ทางบ้านมีสภาพคล่องทางการเงินเป็นยังไง (กระแสเงินสด)
การคัดเลือกลูกเขยของพ่อตา ก็ คล้ายๆ กับการดูงบการเงินของบริษัท แต่ก็อย่างว่านะครับ …. ในเมื่อคนเราแต่งตัวทำให้ดูดีกันได้ แล้ว งบการเงิน มันก็ทำให้ดูดีได้เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องดูกันให้ดีๆ ว่าแต่ละคนมีอะไรแอบซ่อนอยู่ลึกๆ รึเปล่า
เรามาดูเจาะลึกเพิ่มในแต่ละคำถาม
ฐานะทางการเงิน เป็นข้อมูลที่บอกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ "รวยไหม" ก็ดูง่ายๆว่าเขามีทรัพย์สินเท่าไร แค่นี้ไม่พอ ต้องดูหนี้สินที่เขามีอยู่ด้วย
นาย A มีทรัพย์สินอยู่ 100 ล้านบาท เราก็คิดว่า โห…รวยมาก ถ้าเราดูกันแค่นี้
แต่จริงๆแล้ว นาย A มีหนี้สินอยู่ 100 ล้านบาทอีกด้วย คนนี้เลยมีปัญหาแน่ๆ
ผลการดำเนินงาน เป็นตัวที่บอกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ "มีแนวโน้มจะเจรฺิญก้าวหน้าไหม" วิธีดู ก็ดูจากผลงานในปีก่อนๆของเค้าว่า ทรัพย์สินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลง
นาย B ปีนี้ มีทรัทพ์สินอยู่ 25 ล้าน ซึ่งปีก่อนเขามีทรัทพ์สินอยู่ 70 ล้าน และเมื่อสองปีก่อนเขามีทรัทพ์สินอยู่ 100 ล้าน
นาย C ปีนี้ มีทรัทพ์สินอยู่ 22 ล้าน ซึ่งปีก่อนเขามีทรัทพ์สินอยู่ 9 ล้าน และ สองปีก่อนทรัทพ์สินอยู่ 2 ล้าน
พ่อตาจะเห็นแววของหนุ่มคนไหนหนอ ?
กระแสเงินสด เป็นตัวที่บอกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ มีสภาพคล่องทางการเงินเป็นอย่างไร ถ้ามีเหตุต้องการใช้เงิน จะเปลี่ยนสินทรัพย์ที่มีให้เป็นเงินได้เร็วแค่ไหน
นาย C มีทรัทพ์สิน 18 ล้าน แบ่งเป็นที่แถวดอยม่อนจอง 800 ไร่ มูลค่า 16 ล้านบาท และ เป็นเงินสด 2 ล้านบาท
นาย D มีทรัทพ์สิน 18 ล้าน แบ่งเป็นที่แถวเกาะเสม็ด 5 ไร่ มูลค่า 6 ล้านบาท และ เป็นเงินสด 12 ล้านบาท
การพิจารณาให้ดี ต้องลองเอาข้อมูลหลายๆตัวมาพิจารณาประกอบกันนะครับ
------------ (2) ------------
ตอนนี้เราจะลองเอาเรื่องที่เล่ามาจับคู่กับประเภทของงบการเงินกันครับ เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องงบการเงินให้มากขึ้น
ในงบการเงิน ที่เราใช้งานกันบ่อยๆ จะมีงบ 3 ประเภท คือ
งบดุล ใช้บอก ฐานะทางการเงิน
งบกำไรขาดทุน ใช้บอก ผลการดำเนินงาน
งบกระแสเงินสด ใช้บอก กระแสเงินสด
และมีอีกข้อมูลที่สำคัญ เอาไว้ให้นักตรวจสอบบัญชีใช้ตรวจสอบเงื่อนงำ มันคือ หมายเหตุประกอบการเงิน ครับ เพราะบางทีงบการเงินของบางกิจการดีมาก แต่วิธีการคิดการทำงบการเงินอาจจะมีการพลิกแพลงอะไรบางอย่าง เราจึงควรมาอ่านหมายเหตุฯตรงนี้เพิ่มด้วย
มีคนสงสัยว่า ทำไมงบการเงิน มีหลายตัวจัง คำตอบคือ...ที่งบการเงินมีหลายตัวแบบนี้ก็เพื่อ บอกฐานะทางการเงินของบริษัทให้ใกล้เคียงความจริงให้มากที่สุด เราจึงต้องควรดูงบการเงินหลายๆตัว ประกอบกัน เพื่อที่จะเห็นแง่มุมชัดตื้นลึกด้านการเงินของกิจการนั้นๆได้ชัดเจนขึ้น
มาดูรายละเอียดงบแต่ละตัวแบบย่อๆ กันครับ
1) งบดุล : แสดงฐานะทางการเงินของกิจการ ณ. จุดเวลาหนึ่ง เราเอามาเขียนเป็นสมการบัญชีได้เป็น
สินทรัพย์ (Asset) = หนี้สิน (Liabilities) + ทุน (Equity)
สินทรัพย์ : แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดูจากระยะเวลาที่ถือ กำหนดที่ 1 ปี
ในส่วนของที่ดิน อาคารและเครื่องมือที่ตั้งใจไว้ว่าไม่ได้มีไว้ขาย ก็เป็นสินทรัพท์ไม่หมุนเวียน
- สินทรัพย์หมุนเวียน : เป็นพวกเงินสดหรือสินทรัพย์อะไรก็ได้ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายๆ ภายใน 1 ปี เช่น เงินลงทุนชั่วคราว ลูกหนี้การค้า ฯ
- สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน : พวกสินทรัพย์ที่ใช้เวลาถือมากกว่า 1 ปี เช่นเงินลงทุนระยะยาว เงินให้กู้ยืมระยะยาว และสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (เช่น ลิขสิทธิ สัมปทาน ฯ)
หนี้สิน : แบ่งตามเกณเดียวกันกับทรัพท์สิน ดูเวลาที่ต้องชำระ ที่ 1 ปีในการกำหนดสัดส่วนของ สินทรัพย์หมุนเวียน/ไม่หมุนเวียน และ หนี้สินหมุนเวียน/ไม่หมุนเวียน ของธุรกิจ อาจารย์ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า " น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ " นั่นคือให้ระวังในการกำหนดสัดส่วนของหนี้สินหมุนเวียนอย่าให้มากเกินไป จนหาเงินมาจ่ายไม่ทัน ไม่งั้นธุรกิจอาจล้มได้
ส่วนของเจ้าของ : มันก็คือส่วนต่างระหว่าง ทรัพย์สินกับหนี้สิน
- หนี้สินหมุนเวียน : หนี้ที่ต้องชำระภายใน 1 ปี เช่น เจ้าหนี้การค้า (เอาของเค้ามาแล้วยังไม่จ่ายตัง) รายได้รับล่วงหน้า(เอาตังเค้ามาแล้วยังไม่เอาของไปให้เค้า) เงินกู้จากธนาคารที่ต้องคืนในปีนี้ ฯ
- หนี้สินไม่หมุนเวียน : หนี้ที่ยังไม่ต้องชำระใน 1 ปีนี้ ค่อยๆทยอยจ่าย ชิวๆ เช่นหุ้นกู้ เงินกู้ยืมระยะยาว
หมายเหตุจากรูป เป็นการเทียบอัตราส่วนหนี้สินหมุนเวียน/ไม่หมุนเวียน ของกิจการ A และ B ซึ่งการกำหนดสัดส่วนของหนี้สินหมุนเวียนของกิจการ B ควรจะดู ทรัพย์สินหมุนเวียนของกิจการ B ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นเงินเพื่อจ่ายหนี้ระยะสั้นได้ทันหรือไม่
<<ตัวอย่างงบดุล>>
------------ (3) ------------
2) งบกำไรขาดทุน : ขออธิบายด้วยรูป ดังนี้ครับจะเห็นได้ว่า กว่าที่รายได้จะมาถึงปลายทางที่เป็นกำไรสุทธิ จะโดนหักค่าใช้จ่ายเป็นหลายๆขั้น เพื่อที่จะได้แยกให้เห็นทีละขั้นว่าธุรกิจนี้ ผลิตเก่ง หรือ ขายเก่ง
การคิดกำไรออกเป็นขั้นๆ (กำไรขั้นต้น , กำไรจากการดำเนินงาน , กำไรก่อนภาษี ) ทำให้เราเห็นถึงความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจนั้น
- ดูว่าบริษัทใหนเก่งด้านการผลิต ให้ดูที่ ต้นทุนขาย ต้องมีค่าน้อยๆ (ต้นทุนในการผลิตต่ำ)
- ดูว่าบริษัทใหนเก่งด้านการเงิน ให้ดูที่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ดอกเบี้ย ต้องมีค่าน้อยๆ
งบกำไรขาดทุน สามารถดูแนวโน้มอนาคตของธุรกิจได้ ลองเข้าไปดูส่วนของกำไรสุทธิ ที่สะสมเพิ่มตามแต่ละปีในงบการเงิน ก็พอที่จะเห็นแนวโน้มของธุรกิจ ตามรูปครับ
<<ตัวอย่างงบกำไรขาดทุน>>
3) งบกระเเสเงินสด : เป็นต้วบอกว่าเงินสดในธุรกิจ ได้มาจากแหล่งใดบ้าง อาทิเช่น
- เงินที่ได้จากการดำเนินการ เป็น เงินที่ได้จากการทำกิจการ
- เงินที่ได้จากการจัดหาเงิน เช่น การกู้ยืมหรือการก่อหนี้ของกิจการ
- เงินจากการลงทุน เช่น เงินที่ได้จากการลงทุนในกิจการใหม่ๆ ซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับกิจการหลักก็ได้
<<ตัวอย่างงบกระแสเงินสด>>
งบการเงินแต่ละแบบ มีหน้าที่สะท้อนสถานะทางการเงินของธุรกิจในแต่ละด้าน เราต้องดูหลายๆด้าน แล้วเอามาประกอบกันให้เห็นภาพใกล้เคียงภาพจริงที่สุด ฝากสุดท้าย การทำงบการเงิน รายละเอียดลึกๆเป็นหน้าที่ของนักบัญชี แต่ผู้ประกอบการก็ควรที่จะอ่านงบการเงินให้เข้าใจครับ
------------ (end) ------------
Note :
- HIGH RISK , HIGH EXPECTED : เราจ่ายต้นทุน เพื่อให้ได้รายได้ขึ้นมา
- ถ้าเรารู้ว่าของเราขายได้แน่ๆ ให้เลือกที่จะเป็นหนี้ กู้เงินมาลงทุน ( ใช้ DuPont Analysis ช่วยคิด)
- บัญชีทำให้เราเห็นความจริงบางอย่างของธุรกิจที่เรากำลังจะทำ
- ROA เป็นเรื่องของการวัดประสิทธิภาพในเรื่อง Operation (Net income/asset)
- ROE เป็นเรื่องของการวัดประสิทธิภาพในเรื่อง finance (Net income / equity)
ขอบคุณ จขกท ค่ะ
ตอบลบ