ห้องเรียน NEC วันนี้ อาจารย์สั่งให้ทุกคนหิ้วโน๊ตบุคมาด้วย เพื่อที่จะมาเรียนรู้เครื่องมือในการวิเคราะห์ธุรกิจและเขียนแผนธุรกิจ เครื่องมือที่เรียนกันในวันนี้ เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ควรจะรู้จักและหยิบนำไปใช้ให้เป็น
เมื่อเราพูดถึงการเขียนแผนธุรกิจ บางคนอาจจะจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนอย่างไรดี บางคนมีอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเขียนเพื่อที่จะทำเรื่องกู้เงินกับธนาคารในการเริ่มต้นกิจการ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉันไม่อยากจะเขียนแผนธุรกิจหรอก...
แต่ความจริงแล้ว แผนธุรกิจที่เราเขียนจะช่วยทำให้เรามองเห็นตัวตนของกิจการเราได้ชัดขึ้น บ่งบอกว่าตัวธุรกิจเราเก่งด้านใหน ตัวธุรกิจเรามีข้อบกพร่องเรื่องอะไร ขาดด้านใหนไป แล้วจะอุดช่องว่างที่เกิดขึ้นตรงใหนได้บ้าง เราจะได้วางแผนในเรื่องความเป็นไปของตัวธุรกิจ ว่าอีก 3 ปี - 5 ปี จะมีเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับธุรกิจเราบ้าง ระหว่างทางจะมีอุปสรรคหรือข้อได้เปรียบอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ แล้วจะเตรียมตัวรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ฯลฯ การวางแผนธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการใหม่ควรจัดทำเพื่อที่จะเห็นภาพกิจการตัวเองได้ชัดเจน และจำเป็นสำหรับคนที่มีธุรกิจอยู่แล้วที่อยากปรับปรุงธุรกิจของตัวเองให้มีระบบแบบแผนมากขึ้น
อนึ่ง เครื่องมือในการวิเคราะห์และเขียนแผนธุรกิจที่ได้เรียนในห้องเรียนผู้ประกอบการใหม่ มีเครื่องมืออยู่หลายตัว บางอย่างอาจดูซ้ำซ้อนซึ่งขึ้นอยู่กับเราจะเลือกหยิบมาใช้ให้เหมาะกับธุรกิจเราครับ
------------ (1) ------------
เรามาปูพื้นกันก่อนด้วยหลักวิเคราะห์ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกกิจการ ซึ่งพิจารณาดังนี้
- การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกกิจการ โดยการดูจากสภาพแวดล้อม ( PEST model )
- การวิเคราะห์ปัจจัยภายในกิจการ โดยใช้ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)
- P : Politic คือการที่เรามีความสามารถในการต่อรองเพื่อให้ได้ทรัพยากรมา เนื่องจากรอบๆบ้านเรานั้นมีทรัพยากรอย่างจำกัด เราต้องรู้จักว่าใครเป็นผู้มีอำนาจ (stakeholder) ในบริเวณขอบเขตธุรกิจของเรา เพื่อที่จะได้ติดต่อกับเค้าในการเอาทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดมาใช้
- E : Economic เป็นการมองสภาพเศรษฐกิจที่มีผลต่อธุรกิจเรา เช่น แนวโน้มทางเศรษกิจ ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ย ฯ
- S: Social เป็นการมองปัจจัยด้านสังคมที่มีผลต่อธุรกิจเรา เช่น อัตราการเติบโตประชากร อัตราของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตท้องถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
- T: Technology เราจะใช้เทคโนโลยีอะไร ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจเราจริงๆ
ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ภายนอกธุรกิจ โดยดูจากรูป เราเปรียบเทียบให้ธุรกิจเป็นบ้านของเรา รอบๆบ้านมีสนามหญ้าเป็นอานาเขต และมี stakeholder เดินอยู่รอบๆบ้าน ยกตัวอย่างเช่น พวกของรัฐบาล เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ลูกค้า ลูกจ้างของเรา ซัพพลายเออร์ ฯลฯ คนเหล่านี้คือ stakeholder ซึ่งหน้าที่ของ stakeholder จะเป็นคนหาทรัพยากรให้เรามาทำธุรกิจ เช่น ซัพพลายเออร์หาวัตถุดิบมาให้เราผลิตสินค้า ลูกค้าเป็นแหล่งเงินทุนจากการซื้อสินค้าของเรา ฯ เราจึงต้องพยายามผูกสัมพันธ์คุยกับกลุ่มคนเหล่านี้ นอกจากนั้น รอบๆบ้านเรายังมีบ้านของคู่แข่งที่พยายามจะแย่ง stakeholder และแย่งทรัพยากรของเราไปใช้เหมือนกัน
ดังนั้น
- เราต้องรู้จักว่า stakeholder ของเราคือใคร ผู้ที่เป็นคนติดต่อหาทรัพยากรให้ธุรกิจเรา
- พยายามสร้างความสัมพันธ์ให้ stakeholder ยังคงป้อนทรัพยากรให้เรา (อย่าไปป้อนให้คู่แข่ง)
ต่อมาเรามาพูดถึงการวิเคราะห์ภายในธุรกิจ ซึ่งมีเครื่องมือที่ชื่อห่วงโซ่คุณค่า Value chain
หลักของ Value Chain พูดถึง"กิจกรรม" ที่ทำมูลค่าของสินค้านั้นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าจะต่อกันเป็นห่วงโซ่จากต้นทางไปยังปลายทาง และเราจะมาวิเคราะห์ใน Chain หรือในห่วงโช่ของกิจกรรมที่เพิ่มมูลค่าของสินค้าต่อว่า เราควรจะตัด"กิจกรรมที่ไม่จำเป็น"ตัวใดออกไป ให้คงเหลือแต่กิจกรรมที่ทำให้สินค้าเพิ่มมูลค่าได้สูง
จากตัวอย่างในรูป เราแบ่งออกห่วงโช่ออกเป็นสามส่วน คือ พวกธุรกิจต้นน้ำ ธุรกิจเรา แล้วก็ธุรกิจปลายน้ำ ทั้งสามส่วนนี้จะมีการส่งของแล้วเอามาทำกิจกรรมอย่างเพื่อเพิ่ม value ให้กับของชิ้นนั้น แล้วก็ส่งต่อไปจนถึงลูกค้าคนสุดท้าย
สมมุติตัวอย่าง เช่น บ้านเราทำธุรกิจขายอาหาร ในส่วนของต้นน้ำ เช่น ชาวนาถือว่าเป็น supplier ขายข้าว อาจจะราคาจานละ 5 บาท (คิดในเคสที่เข้าใจง่าย) เส้นทางส่งต่ออาจจะตรงมาที่บ้านเราเลย หรือต้องผ่านยี่ปั้วก่อน ซึ่งเมื่อผ่านยี่ปั้ว ราคาข้าวจะเป็นจานละ 20 บาท เราไปซื้อข้าวใน 20 บาท ต่อมาเราก็ทำข้าวผัดขายจานละ 50 บาท อาจจะขายให้ลูกค้าโดยตรงผ่านเส้นทาง B2C หรือจะใช้วิธีฝากขายไปกับห้างร้านต่างๆที่เค้ารับซื้อแล้วไปขายต่อ ผ่านเส้นทาง B2B ซึ่งราคาขายเวลาไปถึงลูกค้าคนสุดท้าย ราคาอาจจะกลายเป็นจานละ 100 บาท
ในตอนที่เราเริ่มต้นทำกิจการ ส่วนมากเราต้องหาลูกค้าเองและส่งของให้ลูกค้าเองโดยตรง ( B2C ) ซึ่งตรงนี้คือเป็นรายได้ระยะแรกของธุรกิจเราที่พอจะสร้าง Cash Flow ให้เราอยู่ไปได้เรื่อยๆ เป็นเหมือนช่วงเรียนรู้ที่จะทำธุรกิจให้ดีขึ้นๆ เราต้องรู้ว่าใน Market ลูกค้าคนใหนคือลูกค้าหลักของเรา แต่พอนานๆไปเราต้องพยายามหาทางส่งสินค้าไปตามองค์กรห้างร้าน ก็คือวิ่งไปบนเส้นทาง B2B จะทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยกับการวิ่งทำธุรกิจมากเหมือนตอนแรก คือหลังที่องค์กรห้างร้านเห็นว่าสินค้าเราขายได้และเชื่อในตัวเรามากขึ้นแล้ว เค้าก็จะนำของไปวางขายในห้างเค้า เราก็ไม่ต้องเหนื่อยวิ่งไปหาลูกค้า ส่งให้แต่องค์กรใหญ่ๆและได้เงินเป็นก้อนที่แน่นอน
นั่นคือในการทำธุรกิจระยะยาว ต้องขายแบบ B2B ให้มากขึ้น
------------ (2) ------------
เครื่องมือใช้สำหรับวางแผนธุรกิจตัวถัดมา ชื่อว่า Biz picture ซึ่งหลักการจะใช้วิธีการวาดรูปเพื่ออธิบายแผนธุรกิจ ทำให้แผนธุรกิจนั้นสื่อสารออกมาให้เข้าใจง่ายๆ แนวคิดคล้ายๆ Mind-map ครับ
เริ่มต้นโดย เราต้องกำหนด stakeholder ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา แล้วลงรายละเอียดของ stakeholder คนนั้นๆว่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจเราอย่างไรโดยโยงเส้นความสัมพันธ์เชื่อมกับตัวธุรกิจ ข้อมูลที่ลงรายละเอียดใน Biz picture นั้นต้องเป็น “ข้อมูลเจาะจง” และเป็น “ข้อมูลมีประโยชน์” เช่น เราต้องการจะขายสินค้าให้ลูกค้าที่เป็นผู้หญิงที่ทำงานแถวๆสีลม ที่เดินช๊อบปิ้งช่วงเย็นๆประมาณ 16:00 – 18:00 น. หรือ เราต้องซื้อที่ดินในการทำโรงงานในนิคมอุตสหกรรมมาบตาพุดจำนวน 2 ไร่
Biz picture ไม่มีกฎตายตัวในการเขียน บางทีเราเขียนเองแล้วก็เข้าใจคนเดียวเองก็ได้ คนอื่นอาจจะอ่าน Biz picture ของเราไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร
องประกอบของการเขียน Biz picture มีอยู่ 3 อย่าง คือ
- KEY / STAKEHOLDER คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา อาจจะเป็นบุคคลหรือองค์กรที่มีความสำคัญต่อธุรกิจหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจเรา เช่น ลูกค้า supplier คู่แข่ง พนักงานในทีม ฯลฯ
- ISSUE แยกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- Expectation : คน หรือ องค์กร นั้นคาดหวังอะไรจากธุรกิจเรา
- Specification : รายละเอียดของคน หรือ องค์กร ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา เช่น อายุเท่าไร เพศชายหญิง สถานภาพ ที่อยู่ ฯลฯ
- Action : เราจะทำอะไรให้กับคนหรือองค์กรนี้ เช่น ลูกจ้างเราต้องจ่ายค่าจ้าง 300 บาท เราต้องพาลูกค้าพาไปบิสเนสทริป
- RELATIONSHIP เขียนโยงเส้นความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจเรากับ stakeholder นั้นๆ
------------ (3) ------------
ส่วนถัดมา เรามาทำความรู้จักกับ SWOT เครื่องมือยอดฮิตที่ใช้ประเมินศักยภาพภายในและภายนอกของธุรกิจ ซึ่งมีส่วนประกอบคือ
- S : Strengths จุดแข็งของธุรกิจ
- W : Weakness จุดอ่อนของธุรกิจ
- O : Opportunities โอกาสในการทำธุรกิจ
- T : Treats อุปสรรคในการทำธุรกิจ
โซนแรกคือโซนของจุดแข็งของธุรกิจ(S) และจุดอ่อนของธุรกิจ(W) จะเป็นปัจจัยภายในของธุรกิจเรา ในส่วนนี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ ให้เราลอง List ออกมาว่า เราทำธุรกิจตัวนี้เรามีข้อได้เปรียบเรื่องอะไรบ้างที่เป็นจุดแข็ง เช่น เรามีที่ดินที่อยู่ในทำเลดีที่ลูกค้าเดินผ่านเยอะ ฯ และในส่วนของจุดอ่อนของธุรกิจ ให้เราลอง List ออกมาว่า ปัญหาภายในอะไรบ้างที่เป็นข้อด้อยทำให้ธุรกิจเราอ่อนแอ เช่น เราอาจมีปัญหาเรื่อง Know-how ความรู้ในการทำธุรกิจที่ยังสู้คู่แข็งไม่ได้ ฯ
โซนที่สองคือโซนของโอกาสในการทำธุรกิจ(O) และอุปสรรคในการทำธุรกิจ(T) จะเป็นปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างของโอกาสในการทำธุรกิจ เช่น รัฐอาจมีโครงการสนับสนุนสินค้าซึ่งตรงกับประเภทสินค้าที่เราผลิตขายอยู่ ฯ หรือตัวอย่างของอุปสรรคในการทำธุรกิจ เช่นเรามีที่ดินที่สามารถปลูกอาคารให้เช่าได้แต่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่การบินทำให้ไม่สามารถสร้างตึกสูงได้ ฯ
SWOT สามารถอธิบายจากรูปภาพ จุดแข็ง (S) และ จุดอ่อน (W) จะอยู่ภายในวงกลมเล็กซึ่งเป็นที่ตั้งธุรกิจของเรา ในส่วนนี้เราสามารถจัดการจุดอ่อนจุดแข็งของเราได้ ถัดมาคือพื้นที่วงกลมภายนอก เป็นพื้นที่ของโอกาส (O) และอุปสรรค (T) ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือการควบคุมของเรา
ยกตัวอย่างธุรกิจโรงสีข้าว โรงสีข้าวมี S/W อาจจะมีจุดแข็งคือเป็นโรงสีที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน มีแผนไปหาซื้อที่ดินเพื่อทำนาเพิ่ม นั่นคือมี O/T คืออาจจะมีโอกาสหาข้าวเปลือกมาป้อนโรงสีเพิ่มเติมได้
บทความเรื่องการเขียนแผนธุรกิจยังไม่จบครับ ยังมีเครื่องมืออีกหลายตัวให้เลือกใช้ ติดตามบทความตอนที่สองต่อนะครับ
------------ (บทความตอนที่ 2) ------------
น่าสนใจดีครับ ขอเชิญชวนมาเขียนหนังสือ ถ้าสนใจรบกวนติดต่อกลับ tortong51 at gmail dot com ครับผม ขอบคุณครับ
ตอบลบ