บทความนี้เราจะเริ่มต้นด้วยการวางแผนสร้าง Brand กัน ซึ่งหลายคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจก็อยากมีแบรนด์เป็นของตนเองให้คนอื่นรู้จัก ให้ลูกค้าได้รู้จักและจดจำ แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า Branding จริงๆกันเสียก่อนว่ามันคืออะไร ?
Branding คือ คำสัญญาที่จะสร้างคุณค่าให้กับคนอื่น เราสามารถสร้าง "คำสัญญา" ให้กับตัวธุรกิจเราโดยการสร้างภาพออกไปให้คนรับรู้ เช่น สินค้า รูปภาพ โฆษณา การบริการ ฯลฯ ตัวอย่างคำสัญญาที่ให้คนอื่นรับรู้ เช่น เราบอกกับลูกค้าว่าธุรกิจของเราจะให้บริการดีๆให้กับลูกค้าตลอดไป เราบอกกับ supplier ว่าเราจะซื้อของจากเจ้าของคุณเท่านั้น เราบอกสัญญากับลูกค้ารายใหญ่ว่าเราจะขายสินค้าราคาพิเศษให้เขาเท่านั้น
คำสัญญาที่เราให้กับคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา บางครั้งเราก็สัญญาว่าจะทำให้ดีขึ้น เช่น เครือข่ายมือถืออาจจะให้สัญญากับลูกค้าว่า เราจะพัฒนาระบบและสัญญาณมือถือให้ดีขึ้น ฯ แต่บางครั้งเราก็สัญญากับลูกค้าว่าเราจะคงที่ เพราะลูกค้าคาดหวังจะได้รับสิ่งเดิมๆจากธุรกิจเรา เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ลูกค้าที่มากินที่ร้านก็คาดหวังว่ารสชาดของอาหารจะอร่อยเหมือนเดิมทุกครั้งที่มากิน ไม่ใช่ว่ามากินวันนี้อร่อย อีกสองวันต่อมารสชาดของอาหารเปรี้ยวขึ้นเพราะเจ้าของร้านอยากปรับปรุงรสชาดอาหาร เป็นต้น
การสร้าง Branding Quality นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างความเชื่อให้กับคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เราจะทำให้คนเขาเชื่อถือสินค้าและบริการของเราได้มากขนาดใหน ซึ่งจริงๆแล้วมันต้องเริ่มมาจากการที่เราเชื่อจากภายในตัวธุรกิจก่อน เราเชื่อมั่นว่าสินค้าและบริการของเรานั้นดีจริง และเมื่อส่งสินค้าและบริการไปให้ลูกค้า ความเชื่อเหล่านั้นจะถูกส่งไปด้วย มันเป็นการส่งต่อความเชื่อจากอีกคนไปสู่อีกคน
ส่วนเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ Branding ของธุรกิจเราให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เครื่องมือนี้เรียกว่า Brand square เป็นแบบฝึกหัดให้กรอกข้อมูลในช่องว่าง 4 ช่อง ดังนี้
- ธุรกิจของเราทำเกี่ยวกับอะไร
- ธุรกิจของเรานั้นสร้างคุณค่าให้กับใคร
- ทำไมถึงคิดว่าธุรกิจของเราจะสร้างคุณค่าได้ดีกว่าที่คนอื่นทำ
- ทำไมเราถึงเลือกทำสิ่งนี้
ในความคิดผมเพิ่มเติมนะครับ การทำ Branding มันคือการทำตัวให้น่าจดจำ พอเราคิดว่าจะทำยังไงให้คนอื่นจดจำเราได้ มันก็คือการพรีเซนต์ตัวเองด้วยคำถาม 4 ข้อนี้ ถ้าเปรียบการขายของเหมือนการไปสมัครงาน คงยกตัวอย่างคำถามได้แบบนี้
- คำถามแรก what do you do ? ถ้าสัมภาษท์งานจะเป็นคำถามว่า คุณมีความรู้ในสายใหน เรียนจบอะไรมา ทำอะไรได้บ้าง อันนี้เราต้องบอกได้ว่าเราทำอะไร ถ้าเราขายของจะเป็นคำถามว่า เราจะขายอะไร จะทำผลิตภัณท์อะไร
- คำถามที่สอง what do you do it for ? ถ้าสัมภาษท์งานจะเป็นคำถามว่า เราจะเลือกตำแหน่งอะไร คิดว่าเลือกทำตำแหน่งนั้นจะสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทได้อย่างไร ถ้าเราขายของจะเป็นคำถามว่า สินค้าที่เราขายนั้นเราจะขายให้ใคร สินค้านี้มีคุณค่าให้กับใคร
- คำถามที่สาม why do you do it better ? ถ้าสัมภาษท์งานจะเป็นคำถามว่า ทำไมฉันต้องเลือกคุณเข้าทำงาน คุณดีกว่าคนอื่นตรงใหน ถ้าเราขายของ ก็คงเป็ฯคำถามว่า ทำไมฉันต้องซื้อของๆเธอ มันแตกต่างจากของคนอื่นอย่างไร มันดีกว่าอย่างไร
- คำถามข้อสุดท้าย why do you do it ? เป็นคำถามหาแรงจูงใจเรื่องการสมัครงาน ถามว่า ทำไมคุณถึงอยากทำตำแหน่งนี้ และเป็นคำถามหาแรงจูงใจเรื่องการขายของ ถามว่า ทำไมคุณถึงขายสิ่งนี้ ทำไมคุณถึงทำผลิตภัณท์นี้
----------- (1) -----------
ในส่วนถัดมาเป็นเนื้อหา Marketing ของอาจารย์ Satit Manomaiudom ที่ได้พูดถึงเรื่อง marketingในมุมมองของการหาช่องทางในการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า ซึ่งปกติแล้วถ้าเราพูดถึง marketing จะนึกถึงการทำประชาสัมพันธ์สินค้าซะมากกว่า แล้วแบบนี้เป็นอย่างไรมาดูกัน
จากรูปอธิบายดังนี้
1) เข้าใจปัญหาของลูกค้า
2) สร้างผลิตภันท์หรือบริการเพื่อแก้ปัญหาของลูกค้า
3) บอกให้ลูกค้ารู้จักสินค้าหรือบริการของเรา
4) ฟังfeedbackและนำมาปรับปรุงผลิตภัณท์หรือบริการ
1) Cause : เข้าใจในตัวลูกค้าก่อน
เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน : People
ทำให้ลูกค้าได้สิ่งที่ต้องการ : Happiness
เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน : People
- Understand you customer : ทำความเข้าใจกับลูกค้าของธุรกิจเราให้ดี มีการตั้งกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มต่างๆ
- Want to know more about them : แล้วรู้ให้ลึกว่า ลูกค้าแต่ละกลุ่มอยู่ที่ใหน ทำอะไร ชอบอะไร
- Love your customer : รักลูกค้าของคุณ เพราะว่าคนเรามักจะทำอะไรดีๆให้กับคนที่เรารัก
ทำให้ลูกค้าได้สิ่งที่ต้องการ : Happiness
- getting what they want : รู้ว่าอะไรที่ลูกค้าต้องการ แล้วปรับให้เข้ากับตัวลูกค้าเค้า
- getting good value : บางครั้งเราต้องสร้างความคาดหวังให้ลูกค้า หลังจากนั้นก็สร้างคุณค่าที่เค้าต้องการให้เค้า บางครั้งอาหารแพงๆแต่บริการดีๆ ลูกค้าก็คิดว่าไม่แพง
- getting treated as individual : ลูกค้าชอบที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ
- Expectation : พยายามสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า เพื่อเอามาปรับปรุงบริการของเรา
- Product perform as a promise : มีธุรกิจบางอย่าง ที่ลูกค้าไปรับบริการจากเราเมื่อไร ก็หวังว่าจะได้บริการตามที่คาดหวังแบบนั้นกลับไปทุกครั้ง
- Honesty : ทำตามความต้องการอย่างซื่อสัตย์
- Document & Protocal : ในการทำธุรกิจ เราควรสร้าง Protocal ที่เป็นระเบียบวิธีการในธุรกิจของเราไว้เรื่อยๆ เนื่องจากป้องกันปัญหาเรื่องคนในทีมลาออก ที่บางครั้งเค้าอยู่กับเราไม่ได้นาน ความรู้ที่สะสมอยู่กับพนักงานคนนั้น ไม่ได้ถูกส่งต่อให้คนที่เข้ามาใหม่ การที่เรามี Protocal ดีๆ ทำให้เราสามารถหาคนใหม่ที่เหมาะสมมาใส่ระบบงานธุรกิจเรา แล้วทำงานต่อได้ง่าย เปรียบ Protocal เหมือนกับเสื้อทำงานตัวหนึ่ง เมื่อคนเก่าลาออกไป เราก็ถอดเสื้อตัวนั้น แล้วหาคนใหม่ ใส่เสื้อตัวเดิมนั้นต่อแล้วสามารถดำเนินงานต่อไปได้
- Brand : เราต้องสร้างความน่าเชื่อถือใน Brand ให้กับลูกค้า สำหรับผู้ประกอบการใหม่ ตัวเถ้าแก่เอง คือ Brand นะ การที่เราออกไปพบลูกค้าด้วยตัวเอง ทำให้ลูกค้ามองว่าเราคือ Brand และ Brand ของธุรกิจคือตัวตนของเรา
----------- ( ) -----------
0 Comment:
แสดงความคิดเห็น