บทความนี้ขอเล่าต่อเกี่ยวกับเรื่องการเขียนแผนธุรกิจที่ค้างในตอนที่ 1 นะครับ ในส่วนที่เหลือของตอนที่ 2 นี้จะเน้นเป็นการเขียนรายละเอียดของตัวธุรกิจ เช่น Vision Mission Value ฯ ซึ่งในห้องเรียนอธิบายหัวข้อต่างๆและลองให้แต่ละคนฝึกเขียนให้เข้ากับแบบในธุรกิจของตน
ผมเคยสงสัยว่า ในการทำธุรกิจ การจะตั้งบริษัทเราจะมี Vision Mission Value ไปทำไม ปกติเห็นธุรกิจบางตัวไม่ได้มีเรื่องพวกนี้ก็ยังดำเนินงานต่อไปได้ ไม่มีก็น่าจะได้รึเปล่า ?
ความจริงแล้ว ถ้าเราจะทำธุรกิจคนเดียว บริหารคนเดียว all in one ตรงนี้อาจไม่จำเป็น แต่หากว่าเรามีทีมงาน เรามีลูกน้อง นั่นหมายถึงธุรกิจเราประกอบด้วยหลายคน หลายความคิด แล้วอยากจะให้คนในทีมคิดและทำให้ไปในทิศทางเดียวกัน เราจึงควรมานั่ง Set เรื่อง Vision Mission Value ของธุรกิจว่าจะเป็นไปอย่างไร เพื่อทำความเข้าใจให้ทุกคนเข้าใจตรงกันและคิดในกรอบเดียวกันว่าเราทั้งหมดจะพาธุรกิจก้าวไปในทิศทางใหน
คำอธิบายในการเขียนหัวข้อต่างๆ :
Values คือ คุณค่าที่ธุรกิจเราสร้างให้คนที่เกี่ยวข้อง และต้องทำได้ดีกว่าที่คนอื่นทำ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Tesla Motors ซึ่งเป็นผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคุณค่าที่บริษัทสร้างคือ ต้องการสร้างยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริง ทำให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ไม่ต้องพึ่งพลังงานเชื้อเพลิง หรือ ก๊าซธรรมชาติที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน
Vision : คือ สิ่งที่องค์กรอยากจะเป็น แผนในอนาคตที่บอกว่าองค์กรจะไปอยู่ตรงจุดใหน มองเป็นแผนระยะยาว 3 ปีถึง 5 ปี เช่น จะขยายกิจการต่อ หรือ จะลดขนาดของกิจการส่วนหนึ่งลงภายใน 2 ปี เป็นต้น การตั้ง Vision เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนด "กลยุทธ์ระดับองค์กร"
อธิบายเพิ่มเติม : กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Level Strategy) คือ การกำหนดทิศทางขององค์กรซึ่งใช้ในการเขียน Vision มี 3 ทิศทางคือ
สรุปคือ จะขยายต่อ หรือ อยู่เฉยๆ หรือ จะเลิกไป
- โตแบบขยายตัว ( Growth Strategies )
- ทำงานคงที่ตามแผนเดิม ( Stability Strategies )
- เลิกกิจการ ( Retrenchment Strategies )
Mission : สิ่งที่ต้องทำเพื่อที่จะบรรลุ Vision ที่ตั้งไว้ เช่น หากเราตั้ง Vision ไว้ว่าจะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มมากขึ้น Mission ของเราอาจเป็นการศึกษาหาวิธีลดต้นทุนในการผลิตหรือการหาลูกค้าใหม่ เป็นต้น การตั้ง Mission ถือเป็นการกำหนด "กลยุทธ์ระดับธุรกิจ"
อธิบายเพิ่มเติม : กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Level Strategy) คือ แนวทางในการทำตามทิศทางที่ตั้งไว้ ยกตัวอย่างเช่น 3 กลยุทธนี้
1) ลดต้นทุน Cost
2) ทำให้แตกต่าง
3) ลงเล่นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)
ข้อมูลเสริม : การเขียน Business strategy ให้ยึดตามหลัก 4Ps – 4Cs เป็นโครงสร้างในการเขียน ( 4Ps เป็นมุมของผู้ประกอบการ ส่วน 4Cs เป็นมุมของลูกค้าที่ได้รับบริการ)
เช่น น้ำดื่มเอบีซีต้องการใช้กลยุทธลดตุ้นทุน ก็จะอ้างอิง 4Ps – 4Cs ในเรื่อง Product ว่าใช้ขวดแบบบางขึ้น และทำเรื่อง Promotion - Communication กับลูกค้าว่า เป็น น้ำดื่มที่ช่วยลดโลกร้อนเพราะขวดบางใช้พลาสติกน้อย
- Product <=> Customer or Service
- Price <=> Cost for customer
- Place <=> Convenience
- Promotion <=> Communication
Objective : คือ แนวทางในการทำตามทิศทางในระยะเวลาสั้นๆไม่นานเกิน 1 ปี ( Mission จะใช้เวลาทำนานกว่า ) เช่น เราซื้อที่ดินผืนใหม่เพื่อขยายโรงงานภายในปีนี้ เป็นต้น
----------- (2) -----------
SMART Target : เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์สิ่งที่เราตั้งเป้าหมายว่าสามารถทำได้จริง และสามารถวัดผลได้คล้ายๆตั้ง KPI ในเชิงธุรกิจ เราใช้ SMART Target มาช่วยในการกำหนด Vision , Mission และ Objective เพื่อไม่ให้เกิดการตั้งเป้าหมายสูงเกินไปจนทำไม่ได้ หรือตั้งเป้าหมายต่ำเกินไปจนไม่เกิดการพัฒนา
พวก Target จะใช้ตัวเลขเป็นหลักในการตั้งเป้าหมาย โดยให้เราตั้งตัวเลขจาก Mission หรือ Objective ที่เราเขียนออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้ออกมาเป็นตัวเลข เพื่อที่วัด performance ของทั้งสามอย่างนี้ออกมาให้ได้ เพื่อจะทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมกลายเป็นรูปธรรมและวัดค่าได้ เช่น
- ยอดขาย
- กำไรขั้นต้น
- ค่าจ้าง ค่าใช้จ่าย
- ความพึงพอใจ
- จำนวนของที่ผลิต
- ของเสีย / waste
- follower ใน social media
- จำนวนลูกค้า
- อื่นๆ
- Specific : ต้องเจาะจงชัดเจน เช่น ยอดขายข้าวแกงเดือนแรกต้องได้ 30,000 บาท
- Measurable : ต้องวัดค่าได้ เช่น เรื่องสี คนชอบเสื้อสีชมพูมากกว่าสีขาว
- Agreeable : เป็นค่าที่เห็นด้วยร่วมกัน เช่น ทุกคนในทีมเห็นด้วยร่วมกันในการตั้ง Target นี้
- Realistic : ทำได้จริง
- Time : มีระยะเวลาที่ทำเสร็จ
เครื่องมือตัวถัดมา เราจะมาดูว่า Stakeholder หรือ คนที่เข้ามาเกี่ยวของกับธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า ลูกจ้าง คู่แข่ง คนที่ขายของให้เรา รัฐบาลหรือหน่วยงานต่าง และอีกหลายๆตน ฯ เราจะต้องให้ความสำคัญกับใครเป็นพิเศษ เพื่อที่ธุรกิจเราจะเน้นให้ความสำคัญกับคนหรือกลุ่มคนนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง เราใช้ Stakeholder analysis ใช้วิเคราะห์คนที่มาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเราครับ
จากรูป เราแบ่ง stakeholder ออกเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่ม A : Minimal effort เราแค่ให้ข้อมูลแก่คนกลุ่มนี้ก็พอ
กลุ่ม B : Keep informed เป็นรายเล็ก รายย่อย ดูแลบ้าง เป็น cash flow ให้กับธุรกิจ
กลุ่ม C : Keep satisfied เจอกันไม่บ่อยแต่กำไรเยอะ แวะมาซื้อบ้างแต่ซื้อทีเป็นล็อตใหญ่
กลุ่ม D : Key Player เป็นคนที่ต้องทุ่มเทดูแลเขาเยอะ ๆ พวกลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อบ่อย
Stakeholder Analysis เครื่องมือนี้ใช้งานไม่ยาก โดยการลิสต์รายชื่อลูกค้าของเรา แล้วเอาไปใส่ในช่อง A B C D โดยแบ่งกลุ่มลูกค้าจาก อำนาจการซื้อ และ จำนวนความบ่อยครั้งในการติดต่อกับเรา เราก็พอที่จะ focus ว่า ลูกค้ารายใหน เป็น Key Player ของเรา คนใหนที่เราต้องใส่ใจเค้ามากๆหน่อย ให้มากกว่าคนอื่น เพราะเป็นคนทำกำไรให้ธุรกิจคุณมากที่สุด
ในห้องเรียนมีคนแอบเเซว จริงๆ ลูกค้าไม่ว่ามาจากทางใหน เราก็รับหมดค้าบบบ ^ ^
เมื่อทำธุรกิจกันแล้ว เราเห็นมีเงิน cash flow เข้ามาในธุรกิจเราเรื่อยๆ เอ… แล้วตอนนี้เราได้กำไรจากที่ทำธุรกิจหรือยังนะ ? จุดคุ้มทุน (Break even point) ของธุรกิจเรา มันอยู่ตรงใหนนะ ? ขออธิบายการหาจุดคุ้มทุน เป็นโจทย์ตามรูปเลยละกันครับ โจทย์ง่ายๆที่น่าจะพอทำให้เห็นภาพเอาไปใช้กับธุรกิจครับ
หลักของการหา จุดคุ้มทุนก็คือ เราต้องแยกต้นทุนออกมาให้ได้ (สมมุติว่าคิดเป็นรายเดือนตามรูป)
- ตุ้นทุนคงที่ Fixed cost : คือ รายจ่ายที่ไม่ว่าเราจะขายของได้หรือไม่ เราก็ต้องจ่ายทุกๆเดือน เช่น ค่าเช่าร้าน ค่าจ้างพนักงานขายในร้าน ค่าน้ำค่าไฟ
- ต้นทุนผันแปร Variable cost : คือ รายจ่ายที่มีผลต่อยอดขายสินค้า เช่น วัตถุดิบทำขนมเค้ก ยิ่งเรามีต้นทุนตัวนี้มาก เราก็สามารถทำขนมเค้กได้มาก
ขอเพิ่มเติมอีกนิด คือการคำนวน ระยะเวลาคืนทุน (Pay back Period) โดยการดูจาก กระแสเงินสดที่เราจ่ายลงทุนไปตอนแรก (ปีที่ 0) เราต้องใช้เวลากี่ปี เงินถึงจะรีเทิร์นกลับมาหาเราครบ *วิธีการนี้ใช้กระแสเงินสดในการคิดนะครับ
ยกตัวอย่าง เช่น เราเปิดบริษัทผลไม้อบแห้ง ในตอนแรกเราใช้เงินลงทุนไป 4,000,0000 บาท แต่ธุรกิจตัวนี้ ให้กระแสเงินสดเป็นรายรับกลับมาปีละ 500,000 บาท ดังนั้น ระยะเวลาคืนทุนของผลไม้อบแห้งเท่ากับ 8 ปี
----------- (4) -----------
ขอสรุปอีกครั้งกับการเขียนแผนธุรกิจ (ในแบบของ NEC - CU) เครื่องมือที่เราเรียนรู้กันมามีดังนี้
- เริ่มต้นเราเขียน Biz Picture เพื่ออธิบายภาพรวมตัวธุรกิจของเราเป็นรูปภาพ เพื่อสื่อให้เข้าใจง่าย
- ต่อมาเราเขียน SWOT เพื่อประเมิน จุดอ่อน จุดแข็ง และความได้เปรียบ/เสียเปรียบ ในการทำธุรกิจ
- ต่อมาเราเขียน Vision Mission value และ Objective ของธุรกิจเรา เพื่อทำให้คนในองค์กรเข้าใจว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตเราจะเดินไปทางใหน โดยเราใช้ SMART Target มาช่วยในการเขียน
- สุดท้ายในการเขียนแผนธุรกิจ เราลองคำนวน จุดคุ้มทุน และ ระยะเวลาคืนทุน ในการทำธุรกิจเรา เพื่อประเมินว่า ที่ทำธุรกิจมันคุ้มใหม ต้องขายของเท่าไรจึงจะรอด เป็นการประเมินว่าควรทำธุรกิจต่อใหมในด้านของการเงิน
สำหรับผู้อ่านบทความสนใจอยากลองเขียนแผนธุรกิจ ก็ใช้ไกด์ไลน์ในการเขียนแผนธุรกิจตามที่สรุปนี้ได้ครับ เขียนเสร็จลองหาผู้ที่ทำธุรกิจมานานช่วยประเมินแผนที่เราวางไว้ด้วย จะได้มีคนช่วยตรวจสอบช่องว่างที่เป็นปัญหาของธุรกิจเราอีกทางด้วย
0 Comment:
แสดงความคิดเห็น